วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

พาณิชย์ลุยเพิ่มร้านธงฟ้าทั้งประเทศ 4 หมื่นร้าน เร่งติดเครื่องรูดบัตรอีดีซี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ (27 ม.ค. 2560) ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่พบปะกับเกษตรกร และประชาชนในงานสมัชชาพลเมืองอีสาน ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันอีสานหนึ่งเดียว ที่เทศบาลตำบลหนองบัววง อ.ลำทะเมนชัย จ.นครราชสีมา เพื่อสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน พร้อมทั้งขอให้สนับสนุนและร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการทำงาน เพื่อร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก เพราะเมื่อเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง ก็จะทำให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็งและขยายตัวได้ดีขึ้น
สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงฯ จะเดินหน้าสร้างงานสร้างอาชีพให้กับ ผู้มีรายได้น้อยที่ได้ขึ้นทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งขณะนี้ ได้ผลักดันโครงการสร้างอาชีพออกมาแล้วหลายโครงการ เช่น แฟรนไชส์สร้างอาชีพ ที่กำลังจะลงพื้นที่ในส่วนภูมิภาค การฝึกทำอาชีพเสริมสวย แม่บ้านมืออาชีพ ซึ่งผู้ที่ต้องการเงินทุน ก็จะประสานแบงก์ออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาปล่อยสินเชื่อให้ รวมทั้งให้การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยหรือ MSMEs ในเรื่องของการยกระดับความพร้อมในการประกอบธุรกิจ เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตลอดจนสนับสนุนการเชื่อมโยงไปยังสถาบันการเงินในการปล่อยเงินสินเชื่อ
นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ให้เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชน สินค้าโอท็อป สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งร้านค้าและผู้ผลิต และยังจะเพิ่มจำนวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐอีก 2 หมื่นร้าน เป็นร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1 หมื่นร้าน และพาณิชย์ส่งเสริมอีก 1 หมื่นร้าน โดยขณะนี้กำลังเร่งรัดการติดตั้งเครื่องรูดบัตรอีดีซี หากสำเร็จจะทำให้มีร้านค้าธงฟ้าทั้งประเทศ 4 หมื่นร้าน จากนั้น จะทำการคัดเลือกร้านที่เข้มแข็งพัฒนาเป็นร้านโชห่วยไฮบริด โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยและเพิ่มโอกาสค้าขายผ่านทางออนไลน์ ทำให้ร้านค้ามีความเข้มแข็งมากขึ้น
ส่วนแผนงานอื่นๆ จะมีการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยจะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกพืชผักและทำปศุสัตว์อินทรีย์เพิ่มมากขึ้น เพราะช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และกระทรวงฯ เองก็มีนโยบายในการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งการเพิ่มจำนวนผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ การผลักดันให้เกิดหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 12 แห่ง และยังได้เพิ่มช่องทางจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่สินค้าโอท็อป สินค้าจีไอ จะเข้าไปส่งเสริมพัฒนา และสร้างโอกาสทางด้านการตลาดให้กับผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่สมัชชาฯ กำลังดำเนินการ ทั้งการผลักดันคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์ การผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายการทำงานของพาณิชย์ ซึ่งกระทรวงฯ พร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับสมัชชาฯ เพื่อขับเคลื่อนการทำงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยมีพาณิชย์จังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักระดับจังหวัดในส่วนของกระทรวงพาณิชย์
แหล่งข้อมูลข่าวสด https://www.khaosod.co.th/economics/news_726479

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น