วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

"โรงสี" ชี้ผลผลิตน้อยดันข้าวราคาดี "หอมมะลิ" ขยับสูง 1.7 หมื่นบาท/ตัน

        

 นางสุนันทา หนูทอง ประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดลพบุรี เจ้าของโรงสีข้าวธีระชิติเจริญกิจ ตำบลบางคู้ อำเภอท่าวุ้ง ลพบุรี เผยว่า ในลพบุรี ราคาข้าวหอมจังหวัด ข้าวหอมมะลิ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 15,000-16,000 บาท ต่อตัน / เกวียน แต่ไม่มีข้าวเหลือแล้ว ตามยุ้งฉางในลพบุรี เพราะข้าวหอมมะลิราคาดี ทุกโรงสี ต่างก็รีบขายกันหมด ไม่มีเหลือในโรงสีต่างๆเลยและการเพาะปลูกก็เพิ่งเริ่ม
         "พื้นที่ที่ทำนาข้าวหอมมะลิในลพบุรีมีที่อำเภอสระโบสถ์ อำเภอโคกเจริญ อำเภอโคกสำโรง อำเภอ ลำสนธิ อำเภอชัยบาดาล ข้าวตอนนี้ทุกโรงสีไม่มีข้าวเก็บไว้แล้ว ในเมื่อข้าวหอมราคาดี โรงสีก็ต้องรีบขายทิ้งให้หมด ไม่ต้องแบกดอกเบี้ยแบงก์ไม่คุ้มกัน ส่วนข้าวขาว 5% ที่เป็นข้าวเปลือก ราคาอยู่ที่ 8200 -8400 ต่อตัน ถ้าเป็นข้าวสารอยู่ที่ 1300 ต่อตัน –ข้าวขาว 5 % ทางโรงสีในลพบุรี ซื้อได้พอสมควรแล้ว ผิดกับข้าวหอมมะลิในลพบุรีที่ไม่มี ส่วนข้าวหอมปทุม อยู่ที่กิโลกรัมละ 24 บาทหรือ ตันละ 12,000-13,000 บาท"

         นายณัฐวัฒน์ ศิริเลิศหิรัญ เจ้าของโรงสี ส.วงษ์พานิช ตำบลหนองทรายขาว อำเภอบ้านหมี่ลพบุรีและเจ้าของโรงสีศิริเลิศหิรัญ 2554 ตำบลตาอ็อง อำเภอเมืองสุรินทร์ กล่าวว่า ข้าวหอมมะลิข้าวเปลือก(ที่สุรินทร์) ราคาอยู่ที่ตันละ 17,000 บาท และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นไปอีก ที่ราคาข้าวหอมมะลิสูงขึ้นเพราะข้าวหอมมะลิมีผลผลิตน้อย เนื่องจากฝนตกชะยอดข้าวทำให้ข้าวไม่ติดรวงมีแต่ต้นที่งาม ไม่มีรวงข้าว ข้าวหอมมะลิ เคยทำ 10 ไร่ ได้ข้าวประมาณ 4-5 ตัน แต่ปัจจุบันได้ข้าวแค่ 2-3 ตัน
         "ข้าวหอมจังหวัดราคาข้าวเปลือกอยู่ที่ตันละ 14,000-15,000 บาท ส่วนข้าวขาว 5% ราคาข้าวสารอยู่ที่ตันละ 13,000 บาท ข้าวเปลือกอยู่ที่ตันละ 8,400-8,500 บาท ปีนี้ทำท่าว่าข่าวเปลือกราคาจะดี เพราะผลผลิตมีน้อย บางแห่งทำนาท้ายคลอง น้ำก็แทบไม่พอ" นายณัฐวัฒน์ กล่าว

สรศักดิ์ ทับทิมพราย รายงาน

วธ.-สวนดุสิตโพล เผยสำรวจความเห็นเด็ก-เยาวชน 'วันวาเลนไทน์' ปี 61

วธ.-สวนดุสิตโพล เผยสำรวจความเห็นเด็ก-เยาวชน “วันวาเลนไทน์” ปี 61 บุคคลที่อยากบอกรักมากที่สุดคือ พ่อแม่-คนรัก แฟน คู่สมรส คู่ชีวิต-เพื่อน ร้อยละ 64.69 


นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานผล การสำรวจความคิดเห็น ซึ่ง วธ. ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชนต่อ “วันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์)” จากกลุ่มตัวอย่าง 2,428 คน ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่า เด็ก เยาวชนและประชาชนส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญกับวันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) ในปีนี้ ร้อยละ 58.61 ให้ความสำคัญพอๆ กับทุกปีที่ผ่านมา รองลงมาร้อยละ 19.65 ไม่เคยให้ความสำคัญเลย ร้อยละ 12.46 ให้ความสำคัญมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาและร้อยละ 9.28 ให้ความสำคัญน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเยาวชนและประชาชนว่า บุคคลที่เด็ก เยาวชนและประชาชน ส่วนใหญ่ อยากมอบความรักหรือส่งความรู้สึกที่ดีให้ในวันวาเลนไทน์มากที่สุด พบว่า ร้อยละ 66.20 คือพ่อแม่/ผู้ปกครอง รองลงมาร้อยละ 62.16 คนรัก/แฟน/คู่สมรส/คู่ชีวิต ร้อยละ 28.98 เพื่อน ร้อยละ 24.88 ครูอาจารย์/ ผู้มีพระคุณ ร้อยละ 15.22 บุตร/หลาน/ญาติ เป็นต้น ทั้งนี้ ได้สอบถามถึงสิ่งที่ เยาวชนและประชาชน อยากมอบให้แฟน/คนรัก/พ่อแม่/ครอบครัวใน วันวาเลนไทน์ พบว่า ร้อยละ 73.02 บอกรักด้วยคำพูด รองลงมาร้อยละ 71.48 ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ร้อยละ 64.25 ให้ดอกกุหลาบ และร้อยละ 58.11 ไปเที่ยวด้วยกัน ร้อยละ 46.53 มอบสิ่งของแทนใจ เช่น สร้อย แหวน เงิน ทอง ร้อยละ 45.72 บอกรักผ่าน Social และร้อยละ 33.21 ให้ Chocolate เป็นต้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า จากการสอบถามว่านอกจากพ่อแม่แล้ว คู่รักต้นแบบในความคิดของเด็ก เยาวชนและประชาชนคิดว่าเป็นใคร ได้แก่ พ่อรอง-แม่ทุม ฉัตรชัย-สินจัย เคน-หน่อย เจ-ปิ่น หมอโอ๊ค-โอปอล เป็นต้น
ส่วนคู่รักดาราวัยรุ่น อาทิ ตูน–ก้อย เวย์-นานา ชมพู่-น็อต มาร์กี้–ป๊อก กุ๊บกิ๊บ–บี้ ณเดช-ญาญ่า เป็นต้น นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่าในความคิดของเยาวชน ประชาชน รูปแบบความรักอย่างสร้างสรรค์เป็นอย่างไร ร้อยละ 65.98 ให้เกียรติกัน รองลงมาร้อยละ 51.36 ชวนทำกิจกรรมดี ๆ ร่วมกัน อาทิ ชวนกันเรียน ทำบุญ ช่วยเหลือสังคม เป็นจิตอาสา ร้อยละ 44.84 คบเป็นแฟนกันอยู่ในสายตาและการรับรู้ของผู้ใหญ่ ร้อยละ 37.85 ใช้เวลาศึกษาดูใจกันนาน ๆ ไม่ชิงสุกก่อนห่าม เป็นต้น
ทั้งนี้ สอบถามความคิดเห็นในประเด็นว่าเด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ หากแฟนหรือคนรักขอมีเพศสัมพันธ์ด้วยในวัยที่ไม่พร้อม มีวิธีหรือจะใช้คำพูดปฏิเสธอย่างไร ตัวอย่างคำพูดที่จะใช้ปฏิเสธ อันดับ1 ปฏิเสธไปตรงๆว่า ยังไม่พร้อม/ยังไม่ถึงเวลา อันดับ 2 พูดคุยดีๆ มีเหตุมีผล อันดับ 3 บอกให้รอก่อนได้ไหม มันไม่ดี ไม่เหมาะสม อันดับ 4 ชวนทำกิจกรรมอย่างอื่น และไม่อยู่ในที่ลับตา 2 ต่อ 2 อันดับ 5 ควรให้เกียรติกัน เห็นแก่พ่อแม่ ไม่อยากให้ท่านเสียใจ อันดับ 6 ควรรอให้เราแต่งงานกันก่อน อันดับ 7 ถ้าห้ามไม่ได้ควรป้องกัน เป็นต้น
และได้สอบถามว่า เด็ก เยาวชนและประชาชนส่วนใหญ่ คิดว่าวัยรุ่นยุคใหม่ควรแสดงออกถึงความรัก/การบอกรักตามวิถีวัฒนธรรมประเพณีไทยที่ดีอย่างไร พบว่า ร้อยละ 65.12 ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ร้อยละ 62.77 ซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียว ร้อยละ 55.71 รักนวลสงวนตัว ร้อยละ 55.58 คบกันอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ร้อยละ 44.23 ไม่ชิงสุกก่อนห่าม และร้อยละ 24.90 เข้าตามตรอก ออกตามประตู
อย่างไรก็ตาม ยังได้สอบถามเด็ก เยาวชนว่าจะใช้ช่องทางในการสื่อสารกับแฟนและบอกรักแฟนในวัน วาเลนไทน์ปีนี้ พบว่า ร้อยละ 64.69 บอกรักแฟนทางโทรศัพท์ ร้อยละ 60.46 ไลน์ (Line) ร้อยละ 51.77 เฟซบุ๊ก ร้อยละ 29.95 ทาง chat box facebook และร้อยละ 26.48 อินสตาแกรม เป็นต้น นอกจากนี้ สอบถามว่า ประโยคหรือคำพูดที่จะใช้บอกรักในวันวาเลนไทน์ปีนี้ พบว่า คำและประโยคที่จะบอกรัก อาทิ รักนะ รักนะจุ๊บๆ รักนะตัวเธอ ฉันรักเธอ ฉันชอบเธอ เค้ารักตัวเองนะ เป็นแฟนกันนะ ซารางเฮโย Love you baby เป็นต้น
ทั้งนี้ สอบถามความคิดเห็นเด็กเยาวชนและประชาชน อยากให้ ภาครัฐและกระทรวงวัฒนธรรมจัดกิจกรรม เพื่อสร้างค่านิยมที่ดีในวันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) อย่างไร พบว่า ต้องการให้จัดกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ กิจกรรมที่ส่งเสริมการแบ่งปันความรัก การแสดงออกกับคนรักหรือคนในครอบครัว กิจกรรมคู่รัก /ประกวดคู่รัก /รูปภาพสื่อรัก กิจกรรมคู่รักชวนกันเที่ยว เชิญชวนให้เที่ยวตามสถานที่เชิงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ชวนกันเข้าวัดทำบุญ /กิจกรรมที่สร้างกุศล ช่วยเหลือผู้อื่น /ทำความดีให้แก่สังคม/ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ที่บ้านเด็กกำพร้ากิจกรรมการบอกรัก /การแสดงความรักแบบวัฒนธรรมไทย ส่งเสริมความรักที่สร้างสรรค์ ให้ความรู้ รู้วิธีการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และให้ความรู้เรื่องหลักการใช้ชีวิตคู่ให้ยั่งยืน เป็นต้น
แหล่งข้อมูล กรุงเทพธุรกิจ

เช็กรายละเอียด "คลินิกแก้หนี้" ใครมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ

คลินิกแก้หนี้ ดีเดย์ 1 มิถุนายน 2560 ช่วยลูกหนี้ที่มีหนี้ธนาคารหลายแห่งปลดหนี้ได้ภายใน 10 ปี พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรน 4-7% มาเช็กรายละเอียดต่าง ๆ กันเลย


          ถือเป็นข่าวดีของลูกหนี้ที่มีหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับผู้บริหารสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สถาบันการเงิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM เปิดตัวโครงการ "คลินิกแก้หนี้" เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนทั่วไปอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายราย ให้มีความสามารถในการชำระหนี้ได้มากขึ้น ไม่กลายเป็นหนี้เสียค้างชำระดังเช่นปัจจุบัน 

          เชื่อว่าโครงการนี้น่าจะได้รับความสนใจจากมนุษย์เงินเดือนที่มีหนี้สินไม่น้อย กระปุกดอทคอม จึงนำข้อมูลและรายละเอียดของโครงการ "คลินิกแก้หนี้" มาแจกแจงให้ทราบกัน และจะได้ตรวจสอบด้วยว่าเรามีสิทธิ์เข้าโครงการนี้ด้วยหรือไม่
คลินิกแก้หนี้ คืออะไร เริ่มเมื่อไร

          คลินิกแก้หนี้ หรือ "โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน" เป็นนโยบายของภาครัฐที่มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่มีหนี้ค้างชำระอยู่กับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้มีโอกาสปลดหนี้ โดยมีบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) หรือ SAM เป็นตัวกลางในการปรับโครงสร้างหนี้ ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายให้ได้ข้อยุติในคราวเดียว เหมือนกับ One Stop Service ที่ลูกหนี้แค่มาเจรจาที่คลินิกแก้หนี้ที่เดียวก็เหมือนกับได้ติดต่อกับเจ้าหนี้ทุกราย เรียกได้ว่า "หนี้บัตรทบ จบที่เดียว" 


          ทั้งนี้โครงการนำร่องจะเริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2560 โดยจะช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหนี้กับธนาคารหลายแห่งก่อน เนื่องจากพบว่าบุคคลกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งลูกหนี้จะผ่อนชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งปรับอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิมที่เคยจ่ายประมาณ 20-25% จะเหลือเพียง 4-7% ตามช่วงรายได้

สินเชื่อประเภทไหนบ้างที่เข้าร่วมโครงการได้

          ต้องเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้ค้ำประกัน ซึ่งเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ลูกหนี้มีอยู่กับธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ สามารถนำยอดหนี้บัตรเครดิตเฉพาะบัตรที่เป็นหนี้เสียทุกใบมาเข้าร่วมโครงการได้ แต่ต้องมียอดหนี้เงินต้นคงค้างไม่เกิน 2 ล้านบาท 

          กรณีเป็นหนี้นอกระบบจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้

ธนาคารอะไรบ้างที่เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้

          มีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ 17 ธนาคาร ได้แก่

          - ธนาคารกรุงเทพ
          - ธนาคารไทยพาณิชย์
          - ธนาคารกสิกรไทย
          - ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
          - ธนาคารกรุงไทย
          - ธนาคารทหารไทย
          - ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
          - ธนาคารไอซีบีซี
          - ธนาคารเกียรตินาคิน
          - ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
          - ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
          - ธนาคารธนชาต
          - ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
          - ธนาคารทิสโก้
          - ธนาคารยูโอบี
          - ซิตี้แบงก์
          - แบงค์ออฟไชน่า

คลินิกแก้หนี้ ใครมีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้

          ลูกหนี้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้

          - เป็นบุคคลธรรมดา 
          - มีรายได้ประจำ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีรายได้ประจำก็ได้ 
          - ต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี (ต้องไม่เกินตลอดอายุที่อยู่ในโครงการ)
          - มีหนี้บัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างชำระเกิน 3 เดือน (90 วัน) กับธนาคารตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2560
          - ไม่เป็นผู้ที่ถูกฟ้องดำเนินคดี
          - ยอดหนี้เงินต้นค้างชำระรวมไม่เกิน 2 ล้านบาท

          * ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ บสส. โดยผู้สมัครจะต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ รวมถึงการวิเคราะห์ รายได้ รายจ่าย แล้วมีเงินสดคงเหลือเพียงพอในการผ่อนชำระตามเงื่อนไข

เงื่อนไขของการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้

          - ลูกหนี้ต้องไม่ก่อหนี้ใหม่เพิ่มในระยะเวลา 5 ปี
          - พร้อมเรียนรู้การสร้างวินัยทางการเงินที่ดี
          - เสียดอกเบี้ยเฉลี่ย 4-7% ต่อปี (ตามช่วงรายได้) ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี

อัตราดอกเบี้ยการผ่อนชำระตามช่วงรายได้

          - ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน ไม่เกิน 30,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 4%
          - ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน 30,000–50,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 5%
          - ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000–100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 6%
          - ผู้ที่มีรายได้ต่อเดือน 100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยปีละ 7%


สมัครโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ที่ไหน

          ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ 4 ช่องทางคือ

          1. ทางเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ www.debtclinicbysam.com

          2. ติดต่อที่สำนักงานโครงการ เลขที่ 333 อาคารเล้าเป้งง้วน 1 ชั้น 12 ซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900

          3. ติดต่อที่ สาขาของ บสส. 4 สาขา
          – สาขาสุราษฎร์ธานี 213/17 หมู่ 1 ถนนเพชรเกษม ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
          – สาขาขอนแก่น 381/46-47 หมู่ 17 ถนนมิตรภาพ  ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
          – สาขาพิษณุโลก 5/16-17 หมู่ 5 ถนนสิงหวัฒน์ ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000
          – สาขาเชียงใหม่ 109/4 ถ.เชียงใหม่-ลำปาง (ท.ล.11) กม.98.7 เทศบาลตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300

          4. ทาง Call Center 02-610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.00 น. (เว้นวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย)

ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้

          - ขั้นตอนที่ 1 : ตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.debtclinicbysam.com หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com  หรือ Call Center (โทร. ติดต่อ) 02-610-2266

          - ขั้นตอนที่ 2 : กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มใบสมัคร และยืนยันข้อมูลผ่านเว็บไซต์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป (ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่นี่)

          - ขั้นตอนที่ 3 : รอเจ้าหน้าที่โครงการติดต่อกลับ เพื่อนัดหมาย วัน เวลา เข้าพบที่สำนักงาน (โดยปกติจะติดต่อกลับไม่เกิน 1 วันทำการ แต่หากไม่ได้รับการติดต่อกลับ ให้โทร. มาสอบถามเพิ่มเติมที่ Call Center 02-610-2266)

          - ขั้นตอนที่ 4 : จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับประกอบการพิจารณา 

          - ขั้นตอนที่ 5 : พบเจ้าหน้าที่โครงการที่สำนักงานโครงการ เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้

          - ขั้นตอนที่ 6 : เจ้าหน้าที่โครงการจะนัดหมาย เพื่อลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อได้รับการยืนยันจากธนาคารเจ้าหนี้ให้เข้าร่วมโครงการ

คลินิกแก้หนี้

เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณา

          1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
          2. สำเนาทะเบียนบ้าน
          3. ใบเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล (ถ้ามี)
          4. เอกสารการตรวจสอบข้อมูลภาระหนี้จากเครดิตบูโร
          5. สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 3 เดือน
          6. เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 6 เดือนย้อนหลัง
          7. บัตรเงินบำนาญ (กรณีเป็นข้าราชการ)
          8. ใบแนบหนังสือสั่งจ่าย (กรณีเป็นข้าราชการ)
          9. หลักฐานการแสดงรายได้อื่น เช่น สัญญาให้เช่า สัญญาว่าจ้าง ฯลฯ
          10. ใบแจ้งหนี้/เอกสารแสดงความเป็นหนี้
          11. หนังสือยินยอมเปิดเผยข้อมูลเครดิตบูโร

          สามารถตรวจสอบตัวอย่างเอกสารได้ที่ debtclinicbysam.com  

ตรวจสอบเครดิตบูโรได้อย่างไร

          สามารถตรวจสอบเครดิตบูโรได้ที่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) หรือที่ธนาคารพาณิชย์ และที่สำนักงาน บสส. ค่าธรรมเนียมครั้งละไม่เกิน 150 บาท อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ ทำความรู้จัก เครดิตบูโร คืออะไร เช็กได้ที่ไหน   

ประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับจากโครงการคลินิกแก้หนี้

          - ไม่ถูกทวงถามหนี้จากเจ้าหนี้หลายราย
          - ลดภาระการผ่อนชำระต่อเดือน เพราะชำระเฉพาะเงินต้นค้างชำระ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรนไม่เกิน 7% ตามช่วงรายได้ ระยะเวลาผ่อนชำระได้ไม่เกิน 10 ปี
          - เป็นการรวมหนี้ และผ่อนชำระในที่เดียว
          - รู้จักวางแผนทางการเงินที่ดี

          ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องชำระค่างวดให้ตรงตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และไม่สามารถก่อหนี้ใหม่ได้ภายใน 5 ปี ซึ่งหากผิดสัญญาจะมีผลให้สัญญาปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลง และต้องออกจากโครงการ หากใครสนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.debtclinicbysam.com หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com  หรือ Call Center (โทร. ติดต่อ) 02-610-2266

คลินิกแก้หนี้

แหล่งข้อมูล K@pook https://money.kapook.com/view171592.html
แหล่งข้อมูล โครงการคลินิกปลอดหนี้ http://www.debtclinicbysam.com/

ลงนาม MOU เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลักดัน “ไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก” ระหว่าง 4 หน่วยงาน “กระทรวงพาณิชย์- หอการค้าไทย-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ -มหาวิทยาลัยบูรพา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มั่นใจจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลกได้แน่นอน เพราะมีการลงนามความตกลงที่ครอบคลุมไปถึงการเชื่อมโยงตลาดผลไม้ ระหว่างผู้ผลิต กับผู้รับซื้อ ทั้งในและต่างประเทศ

ลงนาม MOU เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลักดัน “ไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก” ระหว่าง 4 หน่วยงาน “กระทรวงพาณิชย์- หอการค้าไทย-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ -มหาวิทยาลัยบูรพา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มั่นใจจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลกได้แน่นอน เพราะมีการลงนามความตกลงที่ครอบคลุมไปถึงการเชื่อมโยงตลาดผลไม้ ระหว่างผู้ผลิต กับผู้รับซื้อ ทั้งในและต่างประเทศ
ภาพจากไทยรัฐ
            นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)การผลักดันประเทศไทยให้เป็นมหานคร  ผลไม้ของโลก ที่สหกรณ์การเกษตรมะขาม อ.มะขาม จ.จันทบุรี
           สำหรับการลงนามในครั้งเป็นการลงนาม ระหว่าง 4หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยบูรพา โดยจะร่วมกันกำหนดมาตรฐานผลไม้ไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ThaiGAP และ Q-GAP ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างเครือข่ายผู้ผลิต และเครือข่ายตลาด นำไปสู่การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าผลไม้ของไทย ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะมีผลทันที หลังจากที่ได้ลงนามใน MOU ระหว่างกัน
           นายสนธิรัตน์ แสดงความเชื่อมั่นว่า จากศักยภาพในการเพาะปลูกผลไม้ที่มีความหลากหลายและรสชาติโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งภายในและต่างประเทศ เมื่อผนวกเข้ากับความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสามารถยกระดับคุณภาพและราคาผลไม้ของไทยได้สำเร็จ
          ที่สำคัญมั่นใจว่าจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลกได้แน่นอน เพราะมีการลงนามความตกลงที่ครอบคลุมไปถึงการเชื่อมโยงตลาดผลไม้ ระหว่างผู้ผลิตผลไม้ในภาคตะวันออกและในภูมิภาคต่าง ๆ กับผู้รับซื้อ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ชาวสวนผลไม้มีตลาดรองรับที่แน่นอน และยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เพราะใน MOU ได้มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพผลไม้ของไทยเอาไว้ ตลอดจนมีความร่วมมือในการรวบรวม การขนส่ง และการกระจายสินค้า ทั้งในประเทศและการส่งออกด้วย
 
           อย่างไรก็ตาม นอกจากจะมีการทำข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวแล้ว ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดจันทบุรีครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนยุทธ์ศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีเป้าหมายผลักดันประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก ภายใต้  4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
          1) มุ่งเน้นที่การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตผลไม้เมืองร้อน สดและแปรรูป ให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยกำหนดมาตรฐานการผลิตและการค้าผลไม้  เกรดพรีเมี่ยมและเกรดรอง และส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ตลอดจนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลไม้ของไทย
          2) การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายช่องทางไปถึงตลาดออนไลน์ การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตลาดชายแดน
          3) สนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะด้านการเงินของผู้ประกอบการค้าผลไม้ของไทย โดยจัดหาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อเป็นเงินทุนให้ผู้ประกอบการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตผลไม้คุณภาพ
          4) การประชาสัมพันธ์สินค้าผลไม้เมืองร้อนของไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาด  ซึ่งนอกจากจะมีการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สร้างค่านิยมในการบริโภคผลไม้ในพื้นที่จังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงหรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแล้ว ยังต้องส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศ และสร้างตราสินค้า หรือทำ Branding ด้วย
ที่มา : – ข่าวทำเนียบรัฐบาล