วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

ขอนแก่นจัดใหญ่งานไทยแลนด์เบสชอปปิ้งแฟร์

838228
ขอนแก่นจัดใหญ่งานไทยแลนด์ เบสชอปปิ้งแฟร์ ครั้งแรกในระดับภูมิภาค นำสินค้านับพันรายการช๊อปกระจาย 9 วันเต็ม
ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น หรือ ไคซ์ นายสมศักดิ์ จังตระกูล ผวจ.ขอนแก่น เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้างานไทยแลนด์ เบส ชอปปิ้งแฟร์ แอทขอนแก่น ซึ่งจังหวัดขอนแก่นร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน.รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้กำหนดจัดกิจกรรมขึ้นครั้งแรกในระดับภูมิภาค ท่ามกลางความสนใจจากชาวขอนแก่น ชาวจังหวัดใกล้เคียงรวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่มกิจกรรมเป็นจำนวนมาก นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ขอนแก่น ได้ผนึกพลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จัดงานแสดงสินค้ารายการใหญ่ระดับประเทศ ตั้งแต่ต้นปี เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้คึกคักตั้งแต่ต้นปี และที่สำคัญศูนย์แสดงสินค้าแห่งนี้ได้รับมาตรฐานระดับสากลมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอย่างครบถ้วน มีระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่สามรถให้บริการได้ ดังนั้นมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากคนขอนแก่นในการร่วมกันกระตุ้นภาพรวมทางเศรษฐกิจของจังหวัดและในระดับภูมิภาคจากการใช้จ่ายตลอดทั้งช่วงของการจัดงาน 9 วันเต็มต่อจากนี้
นายวีระศักดิ์ จิตศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ แฟร์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ได้กำหนดจัดกิจรรมขึ้นระหว่างวันที่ 27 ม.ค.-4 ก.พ. โดยพื้นที่ของการจัดแสดงสินค้าแห่งนี้รวม 7,500 ตารางเมตรได้ถูกจัดพื้นที่ให้เป็นส่วนแสดงสินค้าในประเภทต่างๆนับพันรายการ ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ด้วยงบประมาณในการจัดงานครั้งนี้รวมกว่า 10 ล้านบาท
INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image

กพร.ชงเพิ่มค่าจ้าง 16 อาชีพ ยกระดับแรงงานป้อน “อีอีซี”

กพร.เทงบ 2,300 ล้านพัฒนาแรงงานเขต EEC 1.3 แสนคน รองรับกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve, new S-curve ผ่านศูนย์ Excellent Center รายจังหวัด พร้อมชงปรับค่าจ้างแรงงานฝีมือ 16 อาชีพ ล่าสุด กพร.ยั่วน้ำลายผู้ประกอบการออกโครงการให้กู้ยืมวงเงิน 70 ล้านบาท สามารถลดหย่อนภาษีได้ 100%
นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.)เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานรับผิดชอบเรื่องการพัฒนาคน ให้สอดคล้องกับการลงทุน ทั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ประเภท Engine of Growth ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) รวมทั้งไทยแลนด์ 4.0 จึงทำให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดเตรียมแผนระยะ 1 ปี, 5 ปี และ 20 ปี
โดยปี 2561 ใช้งบประมาณ 2,300 ล้านบาท ในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน 130,000 คน ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve, new S-curve, นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในพื้นที่อีอีซี ผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานเทคโนโลยีชั้นสูง ศูนย์ Excellent Center และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานในแต่ละจังหวัด
พัฒนาแรงงาน 1.3 แสนคน
นายสุทธิเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กพร.มีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 12 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, นครราชสีมา, ระยอง, ชลบุรี, สงขลา, ภูเก็ต, สมุทรปราการ, สุพรรณบุรี, เชียงใหม่ และเชียงราย โดยแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะอุตสาหกรรมในจังหวัด เช่น นครราชสีมา จะเน้นด้านไฟฟ้า และโทรคมนาคม ระยองจะเน้นเรื่องออโตเมชั่น และหุ่นยนต์ ตั้งเป้ามีผู้ผ่านการอบรม 20,000 คน / ปี
“อีกทั้งยังมีการตั้งศูนย์ Excellent Center ซึ่งยกระดับมาจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยใช้งบประมาณ 2.5 ล้านบาท สำหรับจัดซื้อครุภัณฑ์เพิ่มเติม เพื่อใช้ในการฝึกอบรมแรงงาน โดยปัจจุบันมีอยู่ 9 จังหวัดได้แก่ สมุทรปราการ, เชียงราย จะเน้นด้านโลจิสติกส์ รองรับจังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ การค้าชายแดน, ชลบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, ราชบุรี และลำปาง จะเป็นด้านออโตเมชั่น เพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่ระยอง จะรองรับด้านยานยนต์ ส่วนฉะเชิงเทรา จะรองรับด้านดิจิทัลเป็นหลัก โดยตั้งเป้าอบรมแรงงาน 10,000 คน / ปี”
“สำหรับการพัฒนาแรงงานยุคไทยแลนด์ 4.0 จะดำเนินการผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะได้รับการเครื่องมือ ครุภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาไปสู่ระบบออโตเมชั่น โดยตั้งเป้าจะพัฒนาแรงงานจำนวนกว่า 100,000 คน / ปี รวมทั้งหมดก็จะประมาณ 1.3 แสนคน ที่ปัจจุบันเราพัฒนาแรงงานไปแล้วกว่า 33,000 คน” นายสุทธิกล่าว
ป้อน EEC เน้นปฏิบัติ-ภาษา 
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอว่าให้นำกลุ่มนักเรียน-นักศึกษาในชั้นปีสุดท้าย มาพัฒนาทักษะให้มีความพร้อมก่อนเข้าตลาดแรงงาน ด้วยการเพิ่มทักษะภาคปฏิบัติให้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มทักษะด้านภาษา เพื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้
อาทิ ภาษาอังกฤษ, ภาษาญี่ปุ่น และภาษาจีน ขณะเดียวกัน กลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบ ควรได้รับการพัฒนาทักษะให้เป็น multi skills เพื่อช่วยลดต้นทุนการจ้างงาน และลดปัญหาด้านแรงงานที่ขาดแคลนอีกด้วย
ทั้งนี้ในการพัฒนาศักยภาพแรงงานรองรับ EEC กพร.มีการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรายจังหวัดระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) แล้วจำนวน 161,696 คน โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน, โลจิสติกส์และขนส่ง, ท่องเที่ยวและบริการ, เกษตร และประมง/ปศุสัตว์ และดิจิทัล หากแบ่งจำนวนแรงงานที่พัฒนารายจังหวัดคือ ชลบุรี 43,950 คน เน้นด้านยานยนต์ และชิ้นส่วน, ระยอง 91,450 คน เน้นด้านการท่องเที่ยว และบริการ รวมถึงเกษตรและประมง/ปศุสัตว์ ส่วนฉะเชิงเทรา 26,569 คน จะเน้นด้านดิจิทัล
ธุรกิจสปาค่าแรงสูงสุด
นอกจากนี้ กพร.ยังส่งเสริมมาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อให้สถานประกอบการได้แรงงานที่มีผลิตภาพดี และแรงงานหลุดพ้นจากปัญหาเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องจากแรงงานฝีมือเป็นกลุ่มทักษะที่ได้ค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำอยู่แล้ว
“ปัจจุบันอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือสูงสุดในขณะนี้ คือ 815 บาท ซึ่งอยู่ในสาขาอาชีพภาคบริการคือ นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม สปาตะวันตก (โภชนบำบัด) รองลงมาคือสาขาอาชีพช่างอุตสาหการ โดยเฉพาะช่างเชื่อมทิกอัตราค่าจ้างอยู่ที่ 775 บาท และสาขาอาชีพช่างอุตสาหกรรมศิลป์ โดยเฉพาะช่างเครื่องประดับ (ประดับอัญมณี) อยู่ที่ 750 บาท”
เพิ่มค่าแรง 4 กลุ่มอาชีพ
นอกจากนี้ ในปี 2560 ผ่านมา คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 มีมติเห็นชอบให้มีการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ เพิ่มในอีก 4 กลุ่มอุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ ซึ่งประกอบด้วย 1.อุตสาหกรรมเหล็ก ได้แก่ อาชีพพนักงานหลอมเหล็กเตาอาร์คไฟฟ้า, พนักงานปรุงแต่งน้ำเหล็กในเตาปรุงเหล็ก, พนักงานหล่อเหล็ก และพนักงานควบคุมการอบเหล็ก 2.อุตสาหกรรมพลาสติก ได้แก่ ช่างเทคนิคเครื่องฉีดพลาสติก, ช่างเทคนิคเครื่องเป่าถุงพลาสติก, ช่างเทคนิคเครื่องเป่าภาชนะกลวง และช่างเทคนิคการซ่อมเครื่องเป่าถุงพลาสติก
3. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ได้แก่ พนักงานเตรียมวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์จริง, พนักงานผลิตชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้จริงด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ, พนักงานประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม้จริง และช่างทำสีเฟอร์นิเจอร์ไม้จริง และ 4.อุตสาหกรรมรองเท้า ได้แก่ สาขาอาชีพพนักงานตัดวาดรองเท้า, พนักงานอัดพื้นรองเท้า, ช่างเย็บรองเท้า และพนักงานประกอบรองเท้า (เย็น)
ลดหย่อนภาษี 100%
นายสุทธิกล่าวอีกว่า กพร.ยังมีโครงการให้กู้ยืมเงิน สำหรับบริษัท หรือผู้ประกอบการเพื่อนำไปใช้อบรม และพัฒนาแรงงาน วงเงิน 70 ล้านบาท ซึ่งปีที่ผ่านมามีสถานประกอบการทำการ
กู้เงินไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท เงินกู้ยืมเงินจำนวนนี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 100% ซึ่งที่ผ่านมามีสถานประกอบการขอลดหย่อนภาษีไปแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท
“คาดว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า วงเงิน 70 ล้านบาทอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และผู้ประกอบการหลายแห่งในปัจจุบันยังไม่ให้ความสนใจที่จะเพิ่มทักษะให้กับแรงงานมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีของไทยยังไม่ไปไกลเท่าไหร่นัก”
“อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 กพร.ตั้งเป้าที่จะทดสอบฝีมือแรงงานให้ได้ทั้งสิ้น 130,000 คน ตรงนี้รวมถึงกลุ่มแรงงานที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศ อาทิ ผู้ผลิตอาหารไทย, ช่างเชื่อม, กลุ่มงานนวด/สปา และกลุ่มช่างก่อสร้างอีกด้วย” นายสุทธิกล่าว
แหล่งข้อมูลhttps://www.prachachat.net/economy/news-108089

นทท.ช็อปปิ้งสินค้า'ตลาดแคมของ'หนองคายเนืองแน่น

838225
นทท. ช็อปปิ้งสินค้า "ตลาดแคมของ" หนองคาย เนืองแน่น - พานิชย์จังหวัดนำสินค้าลดค่าครองชีพจำหน่ายให้ ปชช.
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดหนองคาย ร่วมกับเทศบาลเมืองหนองคาย จัดโครงการตลาดต้องชม เอกลักษณ์พาณิชย์ อัตลักษณ์ของชุมชน ตลาดแคมของ ถนนคนเดินริมโขง ใกล้กับตลาดท่าเสด็จ อ.เมือง จ.หนองคาย ซึ่งจะจัดขึ้นทุกช่วงเย็นวันเสาร์
โดยวันนี้ ทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัดหนองคาย ได้จัดโครงการธงฟ้าราคาประหยัดลดค่าครองชีพ ของประชาชน ร่วมกับโครงการตลาดชุมชนเพื่อธุรกิจท้องถิ่นตลาดต้องชมจังหวัดหนองคาย นำสินค้าอุปโภคบริโภคราคาพิเศษมาจำหน่ายให้กับประชาชนอาทิ ไข่ไก่จากฟาร์มเกษตรกรเบอร์ 3 ราคาแผงละ 55 บาท ข้าวสารหอมมะลิใหม่ บรรจุถุง ละ 5 กก. ถุงละ 150 บาท ข้าวเหนียวใหม่บรรจุถุงละ 5 กก. 110 บาท น้ำตาลทรายขาว กิโลกระมละ 15 บาท โดยมีประชาชนสนใจมาต่อแถวเพื่อรอซื้อสินค้าราคาประหยัดกันจำนวนมาก 
สำหรับบรรยากาศ ถนนคนเดินตลอดแนวริมแม่น้ำโขง ใกล้ตลาดท่าเสด็จ มีผู้ประกอบการร้านค้า นำสินค้าของฝาก ของที่ระลึกเสื้อผ้า รองเท้ากระเป๋า สินคัาแฮนด์เมด รวมทั้งของกินจำนวนมาก มาจัดจำหน่าย ให้กับนักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวชมริมแม่น้ำโขง โดยได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่มาเลือกซื้อสินค้ากันจำนวนมาก
INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     INN News Image     
แหล่งข้อมูล http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=838225

สุดยอดภูมิปัญญาผลิตระหัดผัดหม่อนไหมโบราณ

838223
สุรินทร์-สุดยอดภูมิปัญญาไทบ้าน! คุณตาเมืองช้างวัย 65 ปี ผลิตระหัดผัดหม่อนไหมโบราณสร้างรายได้หลังฤดูการทำนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบกับ นายทอง แข่งขัน หรือชาวบ้านเรียก คุณตาทอง อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 ม. 6 บ.โนนระเวียง ต.ทุ่งกุลา อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ หลังเสร็จจากการทำนา ซื้อปลา ขายปลา ได้ทำระหัดผัดหม่อนไหม (ภาษาเขมรพื้นถิ่นสุรินทร์) หรือเครื่องปั่นด้ายกรอไหมโบราณ สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะมีกลุ่มทอผ้าไหมในพื้นที่ จ.สุรินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง สั่งทำ 2-3 อันต่อเดือน พอว่างจากการซื้อหนองจับปลาขาย คุณตาทอง ก็จะมาทำระหัดผัดหม่อนไหม ตามออเดอร์ สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง
ซึ่งเครื่อง ปั่นด้าย กรอไหม เครื่องปั่นด้ายหรือกรอไหม บางพื้นที่เรียกว่า ไน หลา กงปั่นด้าย หลา ปั่นด้าย เครื่องกรอไหม บางท้องถิ่นทางภาคเหนือเรียก กวง หรือ เผี่ยน หรือ เพียน เป็นเครื่องมือที่อาศัยหลักเกณฑ์ในเรื่องของล้อและเพลา ในสมัยโบราณ เครื่องมือปั่นด้ายเรียกว่า "แว" มีลักษณะกลมใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย มีรูตรง กลางสำหรับเสียบไม้ปั่นด้าย ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องปั่นด้าย หรือไน ลักษณะทั่วไปของไน จะเป็นวงกลม ติดตั้งอยู่ระหว่างขาสองอันที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง และมีเหล็กสอดเป็นคันสำหรับหมุนวงล้อ ส่วนขาติดตั้งอยู่บนส่วนหัวของฐานที่ทำ ด้วยไม้ท่อนยาวประมาณ 30 นิ้ว โดยที่ส่วนปลายของท่อนไม้จะมีเหล็กไนสอดอยู่กับขาตั้งโดยโผล่เหล็กไนออกมา ไว้สำหรับเป็นที่สวมของหลอดไม้ไผ่ที่ทำเป็นที่ กรอด้าย และระหว่างวงล้อจะมีสายพานทำด้วยเชือกโยงมาเพื่อหมุนเหล็กไน ดังนั้นเมื่อมีการหมุนวงล้อเหล็กไนก็จะหมุนไปด้วย เครื่องมือนี้ใช้สำหรับปั่นฝ้ายให้เป็นเกลียวแน่นจนเป็นเส้นด้าย หรือใช้กรอ เส้นด้ายเข้าไส้หลอดสำหรับเป็นเส้นพุ่ง โดยใช้คู่กับระวิงหรือกงกว้าง โดยการนำด้ายที่ผ่านการล้อหรือดิ้วจนเป็นหลอดแล้ว มาจ่อที่ไนแล้วหมุนวงล้อ ในขณะที่วงล้อหมุนไนก็จะหมุนตาม เกิดเป็นแรงเหวี่ยงที่ดึงม้วนด้ายที่จ่อไว้ตีเป็นเกลียว ให้ใช้มือที่ถือหลอดม้วนด้ายดึงออกจากไนจะทำให้เกิดเป็นเส้นด้าย จากนั้นให้ผ่อนแรง มือเส้นด้ายก็จะม้วนอยู่กับไน ทำเช่นนี้จนใกล้หมดม้วนด้ายก็นำม้วนด้ายใหม่ต่อ เนื่องกันไปเป็นเส้นฝ้ายเดียวกันจนเต็มไน
นายทอง แข่งขัน อายุ 65 ปี เปิดเผยว่า ตนอยากจะอนุรักษ์ระหัดผัดหม่อนไหม แม้ว่าจะรายได้จากการทำระหัดผัดหม่อนไหม (ภาษาเขมรพื้นถิ่นสุรินทร์) หรือเครื่องปั่นด้ายกรอไหมโบราณ ไม่มากนัก กำไรต่อชิ้นประมาณ 1,500 บาท เดือนหนึ่งจะทำได้ประมาณ 3 อัน มีรายได้ประมาณ 4,500 บาท กระบวนการผลิตหรือการปั่นด้ายมีวิธีการที่ไม่สลับซับซ้อนมากนัก  เป็นเครื่องมือตามภูมิปัญญาชาวบ้านโบราณ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และสร้างคุณภาพ ในกระบวนการผลิตผ้าไหมสุรินทร์แบบโบราณซึ่งนับวันยิ่งจะสูญหายไปจากสังคมไทย
INN News Image
INN News Image

แหล่งข้อมูล http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=838223

ทุ่ม50ล้านเปิดสนามยิงปืนหรูสุดในประเทศที่ชลบุรี

838221
ทุ่ม 50 ล้าน เปิดสนามยิงปืนอินดอร์ไฮเทค ใหญ่ มาตรฐาน หรูสุดในประเทศบนพื้นที่ 5 ไร่ ที่อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ที่สนามยิงปืน ไลท์ บูลเล็ท ซู๊ตทิ่ง เร้นจ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดสนามยิงปืนไลท์ บูลเล็ท ซู๊ตทิ่ง เร้นจ์ อย่างเป็นทางการ โดยมี พล.ต.ท.ปิยะ สอนตระกูล อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.อ.จิระ โกมุทพงศ์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอัยการ คณะกรรมการปฏิรูปการกีฬาและท่องเที่ยว พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร นำโดย นายกฤตย์ บรรเจิด นายเกียรติพงษ์ ชวลิตนิติธรรม นายเกียรติเกียรติศักดิ์ ชวลิตนิติธรรม และนายพง์รพี สมนึก ให้การต้อนรับ 
สำหรับสนามยิงปืน ไลท์ บูลเล็ท ซู๊ตทิ่ง เร้นจ์ เป็นสนามยิงปืนในร่มติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองศรีราชา จ.ชลบุรี บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ และพื้นที่ใช้สอยภายในกว่า 8,000 ตารางเมตร โดยใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 50 ล้านบาท โดภายในประกอบด้วย สนามยิงเป้า 3 สนาม สนามยิงปืนแบบรณยุทธ 2 สนาม ซึ่งแต่ละสนามมีความกว้าง 22 เมตร ในระยะเป้ายิงไกล 25 เมตร ซึ่งสามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 300 คนต่อรอบ นอกจากนี้ภายในสนามยังมีห้องประชุม คาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายของที่ระลึก ซึ่งมีพื้นที่จอดรถมาตรฐานขนาดใหญ่อีกด้วย
นายเกียรติพงศ์ หนึ่งในผู้บริหาร เปิดเผยว่าสำหรับกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของสนามจะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการทางสนามได้จัดบริการอุปกรณ์การยิงพื้นฐานครบ อาทิเช่น อาวุธปืน เครื่องกระสุน อุปกรณ์กันเสียง และแว่นตา ส่วนราคาในการให้บริการเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาท ถึง 5,890 บาท ซึ่งในแต่ละแพคเกจก็จะมีความแตกต่างกันไปในเรื่องของอุปกรณ์ ทั้งนี้สำหรับช่วงเปิดสนามใหม่ทางผู้บริหารได้มีการจัดโปรโมชั่นสำหรับลุกค้าที่มาใช้บริการทุกแพคเกจลด 30%
แหล่งข้อมูล http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=838221

พณ.พังงาดึงสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ภาคธุรกิจ

838209
พาณิชย์พังงาดึงสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ท้องถิ่น และ SMEs เข้าสู่ภาคธุรกิจ ขยายช่องทางการตลาด 
นายภาคภูมิ อินทรสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ประธานเปิดกิจกรรมเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ สถานบริการ และผู้ผลิตสินค้าชุมชน SMEsตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2561 ณ ห้องอันดามัน The Leaf on The Sand Resort อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการสินค้าชุมชน และผู้ร่วมเจรจาธุรกิจ เข้าร่วม เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการในจังหวัด เพิ่มรายได้ เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ โดยได้นำบูธผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดพังงา จำนวน 30 บูธ มาจัดแสดงและจำหน่าย พร้อมเชิญผู้ซื้อ (Buyer) จากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงแรม ร้านขายของฝากกว่า 30 ราย เข้าชม
สำหรับการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ สถานบริการ และผู้ผลิตสินค้าชุมชน SMEs เป็นการบูรณาการร่วมระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดพังงา หอการค้าจังหวัด กลุ่ม Biz Club สภาเกษตรจังหวัด ชมรมการท่องเที่ยวจังหวัด และที่เกี่ยวข้อง ตามโครงการเชื่อมโยงตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนจังหวัดพังงา ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ จัดอบรมสัมมนาด้านการบริหาร การตลาด การจัดทำแบรนด์ และจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ให้ผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ มีความพร้อม ได้ร่วมพบปะพูดคุยกับกลุ่มธุรกิจชั้นนำ เพื่อให้ดำเนินการสู่ความเป็นมืออาชีพในระดับสากล

พาณิชย์ลุยเพิ่มร้านธงฟ้าทั้งประเทศ 4 หมื่นร้าน เร่งติดเครื่องรูดบัตรอีดีซี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ (27 ม.ค. 2560) ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่พบปะกับเกษตรกร และประชาชนในงานสมัชชาพลเมืองอีสาน ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันอีสานหนึ่งเดียว ที่เทศบาลตำบลหนองบัววง อ.ลำทะเมนชัย จ.นครราชสีมา เพื่อสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน พร้อมทั้งขอให้สนับสนุนและร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการทำงาน เพื่อร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก เพราะเมื่อเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง ก็จะทำให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็งและขยายตัวได้ดีขึ้น
สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงฯ จะเดินหน้าสร้างงานสร้างอาชีพให้กับ ผู้มีรายได้น้อยที่ได้ขึ้นทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งขณะนี้ ได้ผลักดันโครงการสร้างอาชีพออกมาแล้วหลายโครงการ เช่น แฟรนไชส์สร้างอาชีพ ที่กำลังจะลงพื้นที่ในส่วนภูมิภาค การฝึกทำอาชีพเสริมสวย แม่บ้านมืออาชีพ ซึ่งผู้ที่ต้องการเงินทุน ก็จะประสานแบงก์ออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาปล่อยสินเชื่อให้ รวมทั้งให้การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยหรือ MSMEs ในเรื่องของการยกระดับความพร้อมในการประกอบธุรกิจ เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตลอดจนสนับสนุนการเชื่อมโยงไปยังสถาบันการเงินในการปล่อยเงินสินเชื่อ
นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ให้เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชน สินค้าโอท็อป สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งร้านค้าและผู้ผลิต และยังจะเพิ่มจำนวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐอีก 2 หมื่นร้าน เป็นร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1 หมื่นร้าน และพาณิชย์ส่งเสริมอีก 1 หมื่นร้าน โดยขณะนี้กำลังเร่งรัดการติดตั้งเครื่องรูดบัตรอีดีซี หากสำเร็จจะทำให้มีร้านค้าธงฟ้าทั้งประเทศ 4 หมื่นร้าน จากนั้น จะทำการคัดเลือกร้านที่เข้มแข็งพัฒนาเป็นร้านโชห่วยไฮบริด โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยและเพิ่มโอกาสค้าขายผ่านทางออนไลน์ ทำให้ร้านค้ามีความเข้มแข็งมากขึ้น
ส่วนแผนงานอื่นๆ จะมีการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยจะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกพืชผักและทำปศุสัตว์อินทรีย์เพิ่มมากขึ้น เพราะช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และกระทรวงฯ เองก็มีนโยบายในการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งการเพิ่มจำนวนผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ การผลักดันให้เกิดหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 12 แห่ง และยังได้เพิ่มช่องทางจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่สินค้าโอท็อป สินค้าจีไอ จะเข้าไปส่งเสริมพัฒนา และสร้างโอกาสทางด้านการตลาดให้กับผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่สมัชชาฯ กำลังดำเนินการ ทั้งการผลักดันคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์ การผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายการทำงานของพาณิชย์ ซึ่งกระทรวงฯ พร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับสมัชชาฯ เพื่อขับเคลื่อนการทำงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยมีพาณิชย์จังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักระดับจังหวัดในส่วนของกระทรวงพาณิชย์
แหล่งข้อมูลข่าวสด https://www.khaosod.co.th/economics/news_726479

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2561

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2561 ยังมีทิศทางขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ภายใต้บรรยากาศที่ยังเอื้อต่อการเดินทางท่องเที่ยว และแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ นอกจากการทำตลาดการท่องเที่ยวในรูปแบบของความเป็นวัฒนธรรมไทยที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นแล้ว ในปี 2561 การทำตลาดท่องเที่ยวยังเน้นกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น อาทิ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) เป็นต้น นอกจากนี้ในส่วนของภาคธุรกิจการบิน ทั้งธุรกิจสายการบินของไทยและของต่างชาติยังมีการเปิดขยายเส้นทางการบินเพิ่มขึ้นระหว่างเมืองรองทั้งในไทยและต่างประเทศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะมีประมาณ 64-37.99 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.5-7.5 จากที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 8.7 ในปี 2560 สำหรับรายได้จากการท่องเที่ยวน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.97-2.01 ล้านล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 8.8-10.4 จากที่เติบโตประมาณร้อยละ 11.7 ในปี 2560
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการที่เน้นการทำตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอาจจะต้องติดตามความคืบหน้าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งหากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติอาจมีผลต่อการแข่งขันในตลาดนักท่องเที่ยวจีน
สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2561 นี้ ซึ่งมาจากการขับเคลื่อนเทรนด์จากภายนอกประเทศอย่างเทรนด์การท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีการสื่อสาร หรือเทรนด์มาจากการขับเคลื่อนภายในประเทศอย่างนโยบายการทำตลาดการท่องเที่ยวของหน่วยงานภาครัฐอาทิ การท่องเที่ยวที่เน้นความเป็นวิถีไทย การท่องเที่ยวเชิงกีฬา หรือการทำตลาดการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงไปกับอาหาร ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวคงจะต้องปรับกลยุทธ์การตลาดท่องเที่ยวให้สอดคล้องไปกับเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ก.ท่องเที่ยวฯ เสนอมาตรการลดหย่อนภาษีเที่ยวไทยปี 61

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นด้วยกับแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศปี 2561 เนื่องจากปัจจุบันคนไทยยังเที่ยวภายในประเทศน้อย เฉลี่ยปีละ 1.5 ครั้ง พร้อมเสนอให้สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสถานที่ท่องเที่ยวเมืองรอง
แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยายตัว แต่ในส่วนของตลาดท่องเที่ยวในประเทศยังเติบโตไม่มากนัก โดยนายนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงต้องการให้มีมาตรการหักลดหย่อนภาษีการท่องเที่ยวในประเทศปี 2561 เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เนื่องจากคนไทยยังเที่ยวไทยน้อย เฉลี่ยปีละ 1.5 ครั้ง และยังเสนอว่ามาตรการนี้อยากให้เน้นการท่องเที่ยวในหัวเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน


ส่วนภาพรวมตลาดนักท่องเที่ยวคนไทยช่วง 9 เดือน ขยายตัวร้อยละ 6.32 มีคนไทยท่องเที่ยวในประเทศกว่า 109 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 6.95 แสนล้านบาท จึงมองว่าในปี 2560 คงไม่มีมาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวในประเทศแล้ว
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 35.4 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท เนื่องจากยอดจองห้องพัก 3 เดือนข้างหน้าเติบโตมากกว่าร้อยละ 28.91 และในช่วง 10 เดือนแรกปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 28.8 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.69 มีรายได้รวม 1.4 ล้านล้านบาท


มีรายงานข่าวว่า แนวทางการลดหย่อนภาษีด้านการท่องเที่ยวในปี 2561 กระทรวงการคลังเตรียมไว้ 2 แนวทางคือ ลดหย่อนภาษีการท่องเที่ยวเมืองรอง 30,000 บาทต่อคน และลดหย่อนช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ระยะสั้น 3 เดือน จำนวน 50,000 บาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 เดือนนี้ เพื่อที่จะใช้มาตรการดังกล่าวภายในไตรมาสแรกปี 2561
แหล่งข้อมูล  thai PBS

ททท. ตั้งเป้าปี’61 ชูวิถีการกินดึงทั่วโลกเที่ยวไทย


นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการ ด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยททท. คาดการณ์ในสิ้นปี 2560 จะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาประเทศไทย 35 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรไทย
แต่ทั้งนี้ ททท. ยังมุ่งเน้นสร้างรายได้สู่ประชาชนเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยสำคัญคือร้านอาหาร ซึ่งประเทศไทยมีความหลากหลายของอาหาร ไม่เฉพาะอาหารไทย โดยหลายปีคิดว่าอาหารเป็นเรื่องรอง
แต่จากนี้ไป ททท. จะใช้อาหารเป็นตัวนำในการดึงนักท่องเที่ยวมาประเทศไทย เพื่อกินและท่องเที่ยวด้วย โดยใช้วิถีการกินเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะอาหารไทยนอกจากมีความหลากหลายแล้ว วัตถุดิบยังมีคุณภาพด้วย นอกเหนือจากมีทรัพยากรธรรมชาติ อุปนิสัยคนไทย อาหาร รวมถึงประวัติศาสตร์ และเทศกาลของไทย ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ต่างชาติเดินทางมาประเทศไทย รวมถึงทำให้คนไทยเที่ยวประเทศไทยด้วย โดยในปี 2561 ททท. จะเน้นสอดแทรกเรื่องวีถีการกินไปในทุกมิติของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ดำเนินโครงการ เดอะ มิชลิน ไกด์ ไทยแลนด์ เพื่อยกระดับร้านอาหารในไทยด้วย
นายจัสติน พาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูบีเอ็ม บีอีเอส จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยว่า ยังสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีและเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้กับประเทศถึง โดยในปี 2560 คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 2.7 ล้านล้านบาท เติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา
การเติบโตดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการจำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพ เพื่อรองรับกับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ยูบีเอ็ม บีอีเอส จึงจัดงาน Food & Hotel Thailand 2017 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและบริการพรีเมียมระดับนานาชาติ โดยการจัดงาน จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 ก.ย.นี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา บนพื้นที่การจัดงานเพิ่มขึ้น 10% เป็น 18,000 ตร.ม.
โดยกลุ่มสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์เครื่องใช้ในโรงแรม กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และ กลุ่มอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว สำหรับผู้เข้าชมงานในปีนี้คาดว่าจะมีนักธุรกิจชาวไทยและต่างประเทศที่อยู่ในอุตสาหกรรมให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมงานกว่า 30,000 คน และ สร้างมูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจกว่า 4,500 ล้านบาท
แหล่งข้อมูล ข่าวสด

“ไก่อู” โต้ ฮิวแมนไรต์ฯรายงานค้ามนุษย์ประมงไทยติดลบ ซัดปราศจากข้อเท็จจริง


เมื่อวันที่ 27 มกราคม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีองค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์เผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2018 ว่า องค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ละเลยการนำเสนอความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่กลับมุ่งนำเสนอข้อมูลด้านลบ โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง ทั้งนี้ น่าผิดหวังที่ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลที่ปราศจากข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ในพื้นที่ พัฒนาการด้านบวก หรือความพยายามของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการค้ามนุษย์ที่สหรัฐฯ ได้ปรับสถานะของไทยดีขึ้นจากระดับ Tier 3 เป็น Tier 2 Watch List ส่วนอียูก็มีความพอใจในความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาไอยูยูของไทยมากเช่นกัน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว โดยย้ำว่ารัฐบาลได้ประกาศวาระแห่งชาติสิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ปี 2561 – 2562 เพราะเห็นว่าเรื่องการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎหมาย เช่น ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย การประกาศใช้ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษย
“รัฐบาลยังได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติและยกร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ออกนโยบายเร่งรัดกระบวนการไต่สวนในคดีความต่าง ๆ จัดตั้งกองทุนยุติธรรมและกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา จ่ายเงินชดเชย และคืนผู้เสียหายสู่สังคม ปรับนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยเน้นด้านสุขภาพ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นมากกว่า 1 ล้านคนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวกว่า 1 ล้านคน เพื่อคุ้มครองและสนับสนุนให้แรงงานเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการด้านต่าง ๆ ของรัฐ นายกฯ ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ทุกคนและทุกองค์กรก็จะต้องเคารพหลักนิติธรรม สิทธิของผู้อื่นหรือประเทศอื่น โดยดำเนินงานอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และเกิดความร่วมมือที่ดีขึ้นในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ที่มา มติชนออนไลน์​